ทำเนียบรัฐบาล
ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐฐบาล |
ทำเนียบรัฐบาล เดิมเป็นบ้านพัก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อพระราชทานแก่ พลเอก พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก และผู้บัญชาการกรมมหรสพ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายงานใกล้ชิด โปรดให้เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวย ทั้งมื้อกลางวัน และกลางคืน ตลอดรัชกาล และตามเสด็จโดยลำพัง เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย
พลเอกพลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ |
บ้านพักของพลเอกพลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) มีชื่อว่า บ้านนรสิงห์ ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ติดต่อขอซื้อเพื่อทำเป็นสถานที่รับรองแขกต่างประเทศที่มาเยือนในราคา 1,000,000 บาท ต่อมาในปี 2484 มาใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล มีการเปลี่ยนชื่อจาก บ้านนรสิงห์ มาเป็น ทำเนียบสามัคคีชัย จากนั้นมาก็ใช้เป็นทำเนียบรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นสถานที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วยสำนักงานของหน่วยงานต่างๆสำหรับทำเนียบรัฐบาลเป็นตึกอาคารทรงแบบ"กอธิก"ตอนปลายกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วโดยพื้นที่รอบๆ ทำเนียบฯ มีทั้งหมด 27 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา
ตราราชการ ทำเนียบรัฐบาล |
ในรัฐบาลหลายสมัยเคยมีการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์รอบสวนพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลให้สวยงามแต่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นการปรับฮวงจุ้ยเสริมบารมีของผู้ที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี อาทิ สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรี มีปรับภูมิทัศน์หลายครั้ง เช่น การปลูกดอกแก้ว ดอกไม้ โปรดของอดีตนายกฯ และนำไม้ดอกประจำฤดูมาปลูกหน้าตึกไทยคู่ฟ้า การย้ายศาลพระภูมิที่ตั้งอยู่บริเวณรั้วหน้าทำเนียบฯกว่า 50 ปีออก แล้วย้ายไปไว้ข้างตึกสันติไมตรีหลังนอกแทน ทั้งมีโครงการสร้างห้องใต้ดิน ขุดอุโมงค์
พิธีย้ายศาลพระภูมิประจำทำเนียบรัฐบาล |
จากนั้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีการปรับเปลี่ยนนำอ่างน้ำพุมาวางไว้หน้าห้องสีม่วงในตึกไทยคู่ฟ้า เอาต้นโมกและโกสนมาตั้งเรียงในตึก ติดหมุดสะท้อนแสงหน้าบันไดทางขึ้นตึก มีการนำรูปปั้นพระสังกัจจายน์และปีเซียะตั้งบนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้าตามความเชื่อแบบจีน
และล่าสุดสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกฯ มีการปรับภูมิทัศน์หลายรอบ อาทิ การถอนบรรดาต้นไม้เก่าแก่ออกไป เช่น ต้นกระถินณรงค์ยักษ์ ต้นลีลาวดี ต้นมะม่วง สมัยจอมพล ป. ต้นข่อย และกอไผ่จีน ใกล้ห้องทำงานผู้สื่อข่าวทำเนียบฯ และมีการนำต้นไม้กลับมาปลูกเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก และมีการปรับเปลี่ยนทางเข้านายกฯ จากเข้าข้างหน้าเป็นเข้าข้างๆแทน มีการนำเสาธงชาติต้นสีทองใหม่เอี่ยม 3 ต้น มาตั้งไว้ประตูทางเข้า-ออก มีการนำต้นโกสน 6 ต้น มาตั้งคั่นระหว่างปืนใหญ่ และสุดท้ายปรับเปลี่ยนแบบยกสวนนงนุชไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล
ตึกไทยคู่ฟ้า
ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล |
ตึกนารีสโมสร
ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล |
ตึกสันติไมตรี
ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล |
ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังเก่า
ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังเก่า ทำเนียบรัฐบาล |
เดิมเป็นที่ตั้งของ บ้านพักเจ้าพระยารามราฆพ ที่ทำการ และบ้านพักนายราชจำนงค์ ผู้ดูแลผลประโยชน์บ้านนรสิงห์ เป็นเรือนไม้สองชั้น ซึ่งมีอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2484 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 รัฐบาลได้สร้างตึกสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องแบบสากลนิยมขึ้น เพื่อเป็นที่ทำการสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาเคยเป็น ที่ทำการทบวงคณะรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และกรมตรวจราชการแผ่นดิน ปัจจุบันเป็นอาคารที่ทำการ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
รังนกกระจอก
รังนกกระจอก ทำเนียบรัฐบาล |
รังนกกระจอกหลังที่ 1 (ชื่อเรียก: รังฯ เก่า) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตึกไทยคู่ฟ้า เป็นตึกทรงแปดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้อง เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี และสถานีวิทยุ
รังนกกระจอกหลังที่ 2 (ชื่อเรียก: รังฯ ใหม่) ตั้งอยู่ในพื้นที่ติดกับทางเข้าประตู 1 ภายในรั้วทำเนียบรัฐบาล และโรงเก็บรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี เป็นตึกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคามุงกระเบื้อง ต่อเนื่องกับรังฯ สาม เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส และที่พักผ่อนของช่างภาพนิ่ง กับช่างภาพโทรทัศน์
รังนกกระจอกหลังที่ 3 (ชื่อเรียก: รังฯ สาม) ตั้งอยู่ถัดจากรังฯ ใหม่ ต่อเนื่องกับโรงเก็บรถ เป็นสถานที่ทำงานของผู้สื่อข่าวหน้าใหม่ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม รวมถึงผู้สื่อข่าวออนไลน์และ นักข่าวดิจิทัล
เรื่องลี้ลับภายในทำเนียบรัฐบาล
ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล |
มีเรื่องเล่ากันว่า ตึกนารีสโมสร ในช่วงแรกๆ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้เคยใช้ห้องหนึ่งภายในตึกเป็นห้องนอนด้วย เนื่องจากท่านต้องทำงานจนมืดค่ำ แต่ไม่เท่านั้น ข้าราชการบางคนที่ทำงานอยู่ภายในทำเนียบที่ต้องอยู่เวรดึก ก็ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับ อาทิ เห็นเงาที่คาดว่าเป็นผู้ชายแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอปิด แขนยาว ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกายของขุนนางในสมัยรัชการที่ 6 บ้างก็ว่าช่วงเวลาตีหนึ่งกว่าๆเคยเห็นถึงขนาดร่างเด็กชายไว้ผมจุก นุ่งจงกระเบน กวักมือเรียกให้มาเล่นด้วยกัน ทำเอาขนลุกซู่ ที่รองลงมาก็เป็นเพียงการได้ยิน เสียงคนเดิน เสียงปิดประตู ก็อกแก็กต่างๆ